ตำนานลูกหนัง : ‘กาซอร์ล่า’ พ่อมดจอมเวทแห่งแดนกระทิงดุ
ถ้าพูดถึงชายร่างเล็กที่มีลูกเล่นอันแพรวพราว ลีลาการร่ายมนต์ในสนามที่เหลือร้าย และการออกบอลของเขาแต่ละครั้งนั้นช่างมีอะไรแอบแฝงอยู่ แน่นอนคนที่ผมจะพูดถึงคือ ซานติ กาซอร์ล่า
เจ้าตัวเติบโตมาในเมืองอัสตูเรียส ประเทศสเปน โดยเขาเริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่จำความได้ และด้วยฟอร์มการเล่นที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้เส้นทางลูกหนังได้เริ่มต้นที่ทีมเรอัล โอบีโด้ ในวัยเพียง 12 ปีเท่านั้น ก่อนจะโชว์ฟอร์มเข้าตา บียาร์เรอัล จนได้ย้ายค้าแข้งใน พรีเมียร์ลีก กับ อาร์เซน่อล ซึ่งเรื่องราวของเขานั้นจะมีอะไรน่าสนใจ ติดตามอ่านต่อได้ที่นี่
ตัวเล็กแต่ใจโครตใหญ่
ก่อนจะไปติดตามเรื่องราวของ ซานติ กาซอร์ล่า กันต่อ ตอนนี้ LS Sport เพิ่มเกมตอบคำถามแฟนบอลพันธุ์แท้รายวัน และเกมโหวตทายผล ลุ้นรับไอเทมนักเตะระดับตำนานแบบไม่ต้องเติมเงินสักบาทเลย! ก็อย่าลืมรีบไปตุนเหรียญ-เก็บเลเวลกันก่อนหมดเขตนะครับ
ซานติ กาซอร์ล่า เริ่มต้นเส้นทางลูกหนังกับทีมเรอัล โอบีโด้ และด้วยฝีเท้าที่เก่งเกินวัยไปมาก ทำให้ไปเข้าตาแมวมองของ บียาร์เรอัล ที่ซุ่มดูฟอร์มนักเตะดาวรุ่งอยู่ในตอนนั้น สุดท้าย ‘เรือดำน้ำสีเหลือง’ ก็จัดการปิดดีลได้สำเร็จ โดยตอนนั้นเจ้าตัวอายุได้เพียง 19 ปี และได้รับโอกาสกับทีมระดับชั้นนำของแดนกระทิงดุ ซึ่งแน่นอนว่าช่วงเริ่มต้นเขาต้องไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์กับทีมชุดบีของสโมสรก่อน
แข้งรายนี้ได้โอกาสประเดิมสนามให้กับทีมชุดใหญ่ของ บียาร์เรอัล ตั้งแต่ฤดูกาล 2003/04 ก่อนที่หลังจากนั้นจะเริ่มก้าวขึ้นมามีบทบาทมากขึ้น แต่ทว่าก็ต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งในช่วงซัมเมอร์ปี 2006 โดย อูเอลบา ได้ทำการยื่นข้อเสนอซื้อตัวเขาไปร่วมทัพ ซึ่งมีมูลค่าค่าตัวอยู่ที่ราว 600,000 ยูโร และทางต้นสังกัดก็ไม่ประมาท โดยพวกเขาได้ใส่ออปชั่นซื้อกลับสู่ทีมไว้ในสัญญาด้วย
หนึ่งซีซั่นกับ อูเอลบา ทางด้านเจ้าตัวสามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม และสถาปนาตนเองเป็นตัวหลักของทีมได้ในทันที พร้อมสถิติลงสนาม 34 นัด ทำไป 5 ประตู และด้วยฝีเท้าที่ร้อนแรงทำให้ บียาร์เรอัล จัดการใช้ออปชั่นที่ใส่ไว้ ควักเงินจ่าย 1.2 ล้านยูโร เพื่อกระชากดาวเตะรายนี้กลับสู่สโมสรอีกครั้ง ซึ่งการกลับสู่ต้นสังกัดในครั้งนี้ เขาสามารถพิสูจน์ตัวเองได้สำเร็จ พร้อมเป็นกำลังสำคัญ แน่นอนว่าเครื่องการันตีในฝีเท้าคือการมีชื่อติดทีมชาติสเปน และเป็นหนึ่งในขุมกำลังชุดคว้าแชมป์ยูโร ทั้ง 2 สมัย ในปี 2008 และ 2012
และด้วยฝีเท้าที่ได้รับการยอมรับ ทำให้ในช่วงหน้าร้อนปี 2011 ยอดทีมอย่าง มาลาก้า ที่เป็นเจ้าบุญทุ่มอยู่ช่วงเล็ก ๆ ในประเทศสเปน จัดการยื่นข้อเสนอ 23 ล้านยูโร พร้อมคว้าตัวเขาไปร่วมทัพ ซึ่งเวลา 1 ฤดูกาล เจ้าตัวก็ยังคงความยอดเยี่ยมเอาไว้ได้ จัดการทำไป 9 ประตูกับอีก 8 แอสซิสต์ จากการลงสนามทุกรายการ 42 เกม แต่ทว่าด้วยปัญหาฝืดเคืองด้านการเงินของสโมสรแห่งนี้ ทำให้ในช่วงปี 2012 พวกเขาจำเป็นต้องปล่อยสตาร์บางคนออกจากทีม และ กาซอร์ซ่า ก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ถูกขายให้กับ อาร์เซน่อล ด้วยค่าตัว 19 ล้านยูโร
ชีวิตในอังกฤษของเขาถือว่าราบรื่นดี โชว์ผลงานออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม พร้อมลูกเล่นที่ชวนแฟนบอลเพลิดเพลินไปกับความสวยงาม จนถึงขั้นทำให้ อาร์แซน เวนเกอร์ ที่เป็นหัวเรือใหญ่ของทีมในตอนนั้นต้องออกมาชื่นชมฝีเท้าของลูกทีมว่าเปี่ยมล้นไปด้วยพรสวรรค์ และความชาญฉลาด แต่แล้วช่วงเวลาที่สวยงามกำลังจะจางหายไป เพราะความซวยกำลังคืบคลานเข้ามาหา กาซอร์ล่า แบบไม่ทันได้ตั้งตัว
ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เมื่อปี 2016 เกมที่ อาร์เซน่อล พบกับ ลูโดโกเร็ตส์ ทางด้าน กาซอร์ล่า มีปัญหาอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้าจนถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนาม ซึ่งจากคาดการณ์คิดว่าคงไม่ได้เป็นอะไรมากใช้วิธีการรักษาเหมือนครั้งที่ผ่าน ๆ มาก็คงกลับมาโลดแล่นในสนามได้ตามเดิม
แต่ว่าสิ่งที่คิดนั้นมันช่างแตกต่างกับความเป็นจริง จากผลการตรวจละเอียดบ่งบอกว่าอาการที่เขาเจ็บในครั้งนี้มันต้องผ่าตัด ซึ่งมันเป็นจุดที่เขาเคยผ่ามาแล้วกว่า 10 ครั้ง ก่อนที่จะพบว่าต้นเหตุของอาการเจ็บที่รุนแรงนี้เป็นผลมาจากอาการเจ็บที่เคยเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2013 ซึ่งการรักษาในครั้งนั้นมันยังไม่หายดี แต่เขากลับลงสนามไปไล่หวดลูกหนังแบบไม่ได้ใส่ใจมันมากนัก และยิ่งใช้งานมันหนักขึ้นในทุก ๆ ขวบปี อาการก็สะสมจนร่างกายไม่อาจต้านทานไหว
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่โชคร้ายไปกว่านั้นคือ แผลที่ผ่าตัดดันเกิดติดเชื้อจนทำให้เกิดเนื้อที่เน่าเสียบริเวณเอ็นร้อยหวายที่มีความยาวถึง 8 เซนติเมตร ชีวิตในตอนนั้นไม่ต้องคิดถึงเรื่องการหวนกลับมาเล่นฟุตบอล เพราะมันถึงขั้นเกือบที่จะต้องตัดขาทิ้งด้วยซ้ำ
แน่นอนว่าสิ่งที่เขากำลังเผชิญ คนภายนอกที่มองเข้าไปยังรู้สึกว่ามันเลวร้ายมากพอสมควร และยิ่งถ้าเป็นตัวของคนที่กำลังต่อสู้กับมันคงจะอ่อนไหวกว่าเราเป็น 10 เท่า แต่นั่นมันไม่ใช่กับ กาซอร์ล่า เขาเชื่อมั่นในตัวเองมาตลอดว่าจะสามารถกลับมาลงสนามได้อีกครั้ง
แล้วในที่สุดเขาก็รักษาอาการดังกล่าวด้วยการตัดชิ้นเนื้อบริเวณแขนมาแปะแทนเนื้อที่ถูกตัดทิ้งไป เขาเลือกที่จะตัดเนื้อตรงแขนซ้ายที่มีรอยสักชื่อลูกสาวมาแปะที่บริเวณเอ็นร้อยหวาย โอเคแหละว่ามันเป็นเรื่องที่ทำใจยาก แต่มันเป็นวิถีทางที่ดีที่สุดแล้ว หลังจากเหตุการณ์เลวร้ายผ่านพ้นไป เจ้าตัวที่หายหน้าหายตาจากสนามไปเป็นปีก็หวังกลับมาลงเล่นฟุตบอลอีกครั้ง
ช่วงนั้นเขาได้เข้าสู่สัญญาปีสุดท้ายกับ ‘ปืนใหญ่’ และทีมก็ไม่ได้เสนอสัญญาฉบับใหม่มาให้ โอเคแหละครับ ถ้ามองในมุมของสโมสรเองก็ไม่อาจเสี่ยงจ่ายเงินกับนักเตะที่ไม่รู้ว่าจะกลับมาลงสนามด้วยผลงาน และมาตรฐานในรูปแบบไหน ฉะนั้นเมื่อ กาซอร์ล่า กลายเป็นแข้งฟรีเอเย่นต์ เขาก็เดินหน้าหาทีมใหม่ก่อนที่จะเป็น บียาร์เรอัล ที่กล้าเสี่ยงนำเขากลับมาสู่ทีมเป็นครั้งที่ 3 พร้อมมีการเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ท่ามกลางแฟนบอลที่แห่เข้ามาต้อนรับ
โดยในฤดูกาลแรกที่กลับมาค้าแข้งในประเทศบ้านเกิดคือ 2018/19 เขาเป็นตัวหลักให้กับทัพ ‘เรือดำน้ำสีเหลือง’ พร้อมลงเล่นไปมากถึง 46 นัดรวมทุกรายการ ทำไป 7 ประตูกับอีก 11 แอสซิสต์ จากสถิติตรงนี้มันตอกย้ำเลยว่าร่างกายของเขายังคงยอดเยี่ยม และลงเล่นได้เหมือนกับนักฟุตบอลทั่วไป ไม่ได้ดูเหมือนคนที่เพิ่งผ่านพ้นช่วงเวลาร้าย ๆ มา มิหนำซ้ำด้วยผลงานที่ร้อนแรง กาซอร์ล่า ยังมีชื่อกลับไปติดทีมชาติสเปน อีกครั้งในปี 2019 โดยได้เล่นไปถึง 4 เกมในช่วงเวลานั้น อีกทั้งในนามสโมสรก็โชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่น ฉายแววแบบลืมแก่ไปเลย
โดยหลังจบซีซั่น 2019/20 เจ้าตัวตัดสินใจย้ายไปร่วมทัพ อัล-ซาดด์ สโมสรในลีกกาตาร์ เพื่อหาประสบการณ์ใหม่ ๆ และในฤดูกาลล่าสุด เขาก็หวนกลับมาซบ เรอัล โอบีโด้ ทีมที่ปลุกปั้นเขามาตั้งแต่เยาวชน
จากเรื่องราวที่ผมเล่ามา ซานติ กาซอร์ล่า ถือว่าผ่านอะไรมามากมายในบทบาทของการเป็นนักฟุตบอลที่สู้ชีวิตคนนึง และเขาก็ยังคงโลดแล่นอยู่บนพื้นหญ้าเพื่อสร้างความสุขให้กับแฟนบอล โดยเจ้าตัวยังไม่มีวี่แววที่จะแขวนสตั๊ดแต่อย่างใด ทั้งนี้ผมก็ขอให้เขาอยู่คู่กับวงการลูกหนังไปอีกนานแสนนาน ไม่ว่าในบทบาทไหนก็ตาม
เขียนโดย LS Sport
ข่าวกีฬาคนรุ่นใหม่ 24 ชั่วโมง